คันหน้าเบิ้ล
โคลนโดนกระจก
จนรถตกข้างทาง
บนทางหลวงชนบท ช่วงกลางสัปดาห์ ในวันที่ท้องฟ้าครึ้ม บรรยากาศหลังฝน ถนนค่อนข้างลื่น ทำให้รถคันต่างๆ ขับกันมาอย่างระมัดระวัง เนื่องจากถนนลื่นและมีการทำถนนในบางส่วน โจ้ชายหนุ่มที่กำลังรีบกลับห้อง ก็อยู่บนถนนสายนั้นเช่นกัน
หลังจากทำงานมาอย่างเหน็ดเหนื่อย โจ้ก็ขับรถยนต์คันโปรดบึ่งกลับไปยังหอพัก ซึ่งขากลับนั้น บางจังหวะก็มีการเร่งเครื่องเพื่อที่จะให้ถึงห้องพักเร็วขึ้น
ขณะเดียวกัน บอลที่ข้ามตามหลังโจ้มาในเลนถัดไป ต้องเปลี่ยนเลนกลับมาอย่างกระทันหันเนื่องจากทางข้างหน้ามีการทำถนนอยู่ ทำให้ถูกโคลนที่กระเด็นจากล้อรถของโจ้ มาแปะอยู่ที่หน้ากระจก[แผละ!] ทำให้เสียหลักจนหักรถตกลงข้างทางในที่สุด
ขณะเดียวกัน โจ้ผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ เมื่อเห็นรถที่ตามหลังกันมาเกิดอุบัติเหตุ ด้วยความที่เป็นคนดีและไม่รู้ว่าตัวเองเป็นสาเหตุ จึงจอดรถไว้ข้างทางแล้วรีบวิ่งไปดู เพื่อให้ความช่วยเหลือ
ฟากบอลก็หัวร้อนสุดๆ เขาคิดว่า เขาขับรถมาดีๆ แต่โดนรถคันข้างหน้าซึ่งอยู่ๆก็เร่งความเร็ว ทำให้โคลนกระเด็นมาติดน้องน้ำเงิน รถที่เขารักเยี่ยงลูกในไส้เสียอย่างนั้น แถมยังต้องเสียหลักตกข้างทางไปอีก ตัวเขาเองก็ต้องมามีรอยแผลให้เจ็บช้ำใจ แล้วคนขับรถคันข้างหน้าก็ไม่มีคำขอโทษสักคำ แถมมายืนเสนอหน้าไม่รู้สึกผิดอีกด้วย จึงตะโกนออกมาด้วยความโมโห
โจ้ ซึ่งยังงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงมองกลับไปที่รถของบอล แล้วก็ อ๋อ ขึ้นมาทันทีว่าตัวเองทำอะไรผิด พร้อมกับประเมินเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงตัดสินใจพูดขอโทษ
ส่วนบอล ที่เดิมเป็นคนหัวร้อนอยู่แล้ว ก็ยิ่งหัวร้อนมากขึ้นไปอีกจนแทบจะระเบิดเมื่อโจ้บอกว่าเป็นความผิดของเขาด้วยเช่นกัน ทำให้เรื่องวุ่นวายเกิดขึ้น โจ้ ไม่ได้สนใจฟังสิ่งที่บอลได้พูดเลย และได้คิดขึ้นในใจว่า (อยากได้ใครก็ได้มาช่วยที!! คิดถึงเตียงนอนแล้วววว~)
หลังจากความคิดในหัวของโจ้เงียบลง เจ้าหน้าที่ประกันภัยจึงปรากฎตัวขึ้นเพื่อห้ามทัพ เขาเริ่มจากการจับคู่กรณีทั้งสองนั่งคุยกันอย่างมีเหตุผล โดยให้ทั้งสองฝ่ายเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น จากนั้นจึงตั้งคำถามกับบอล
ขณะที่โจ้เริ่มใจเย็นลง แต่บอลยังคงหัวร้อนอยู่ เพราะคิดว่ายังไงตัวเองก็ถูกแน่ๆ เจ้าหน้าที่ประกันภัยจึงเริ่มใช้เหตุผลเข้าอธิบายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นโดยอ้างอิงมาตรากฎหมาย
โจ้ผู้ฟังอยู่เงียบๆ ได้มองไปที่บอลที่เริ่มหน้าเริ่มเปลี่ยน หลังจากที่รู้ว่าเขาเป็นคนผิด
บอลในตอนนี้ไม่ใช้บอลหัวร้อนคนเดิมอีกต่อไปแล้ว สงบสติอารมณ์มากขึ้น พร้อมคิดย้อนเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ในช่วงเวลาที่เขาเปลี่ยนเลนอย่างกระทันหัน ซึ่งเขาได้คิดในใจว่า (หรือว่าเราจะประมาทจริงๆนะ)
สุดท้ายบอลก็ยอมรับผิดว่าเขาเป็นคนประมาทเอง เพราะหากเขาระมัดระวังใจเย็นกว่านี้ คงไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น พร้อมมองไปที่น้ำเงินลูกรักที่ต้องเจ็บตัวเพราะเขา
สรุป
‘บอล’เป็นฝ่ายประมาท โดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้ขับขี่อาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ เป็นการฝ่าฝืนต่อ พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 40 และ 43(4) เพราะ 'บอล' ไม่ปฎิบัติตามกฎหมาย ขับรถโดยประมาทหรือน่าหวาดเสียว อันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน ซึ่งการเปลี่ยนช่องทางเดินรถอย่างกระทันหัน ถือว่าเป็นการขับขี่รถโดยประมาท และ น่าหวาดกลัว และมีการขับรถในระยะประชิดกันคันข้างหน้า ซึ่งบอลต้องขับรถให้ห่างจากรถคันหน้าพอสมควรในระยะที่จะหยุดรถได้โดยปลอดภัยในเมื่อจําเป็นต้องหยุดรถ
ส่วน ‘โจโจ้’ ถือว่าไม่ผิด เพราะการเร่งเครื่องของรถ ‘โจโจ้’ เป็นเรื่องปกติของการขับขี่บนท้องถนน เพราะฉะนั้น จึงไม่ได้กระทำการโดยประมาท
*เกร็ดความรู้เรื่องกฎหมาย*
มาตรา 40 ผู้ขับขี่ต้องขับรถให้ห่างรถคันหน้าพอสมควรในระยะที่จะหยุดรถได้โดยปลอดภัยในเมื่อจําเป็นต้องหยุดรถ
มาตรา 43 ห้ามมิให้ผู้ขับขี่ขับรถ
(4) โดยประมาทหรือน่าหวาดเสียว อันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน
หมายเหตุ อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นการพิจารณาว่าฝ่ายใดประมาทนั้นขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริง และพยานหลักฐานต่างๆ คำถามต้องให้ชัดเจน มิฉะนั้นอาจทำให้ตอบคลาดเคลื่อนได้