หลบหินหล่น
ชนหูช้างกระเด็น
ถนนสายเข้าเมืองในวันเสาร์กลางวันแสกๆมีรถประปราย รถต่างขับอย่างระมัดระวัง บ้างเร็วบ้างช้า บ้างขับเลียดไปตามเลน ชนนกชมไม้ เขาคนนั้นคือ อะตอม สิงห์มอเตอร์ไซค์หนุ่มที่ชอบมาเที่ยวเขาใหญ่คนเดียว...เขาไม่คาดคิดว่าวันนี้จะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดใดๆขึ้น
อะตอม ขี่มอเตอร์ไซค์คันเก่งกลับบ้านที่กรุงเทพสบายใจ โดยหวังจะรับลมชมวิวริมทางมาเรื่อยๆ จึงชอบขับมอเตอร์ไซค์ในเลนริมทาง พร้อมฟังเพลงด้วยหูฟัง อัดเพลงร็อควงโปรดสนั่นเข้าหูตัวเอง
ก่อนที่จะรู้ตัว หินบริเวณเชิงเขาก็ค่อยๆทรุดและไหลลงมาบริเวณเส้นข้างเลนหลัก จึงตกใจสุดชีวิต และด้วยสัญชาตญาณเอาตัวรอด เขาหักขวาเต็มกำลังอย่างไม่สนอะไรอื่นอีกต่อไป
ขณะเดียวกัน อู๋ ภูมิสถาปัตย์สาวไฟแรงกำลังขับรถหลังจากมาออกแบบสวนให้ลูกค้ารายใหญ่แถววังน้ำเขียว เธอขับรถออกต่างจังหวัดบ่อย เป็นคนรอบคอบและขับรถอย่างระมัดระวัง ไม่เร็วหรือช้าเกินไป ตามองไปข้างหน้า เปิดเพลงเบาๆกล่อมใจให้เย็นทันใดนั้น มีมอเตอร์ไซค์ที่เธอไม่ทันเห็น ขับเบียดมาจากเลนข้างถนน ก่อนที่จะหักหลบได้ทัน รถมอเตอร์ไซค์ก็ครูดเข้ามาเต็มสีข้างรถของเธออย่างจัง
อู๋หัวร้อนสุดๆ เธอขับรถมาดีๆ ตาบ้านี่มันขับรถมาจากไหนกัน เธอรีบเบี่ยงรถเข้าข้างทาง ตรวจดูสภาพรถที่เต็มไปด้วยรอยขีดข่วน หูช้างขาดกระเด็นแตกยับเยิน ตอนนี้ไม่แค่หัว แต่เธอร้อนจนควันออกหูไปทั่วทั้งตัว จนอู๋ต้องตะโกน
ทางด้านอะตอม ซึ่งเป็นชายร่างใหญ่สูงกำยำก็อารมณ์เสียไม่แพ้กัน เขาลุกขึ้นปัดแขนตนเอง พร้อมตรวจดูว่าเขาได้รับบาดเจ็บตรงไหนบ้าง โชคดี ไม่มีร่างกายส่วนไหนบุบสลายแต่ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ หินบ้าๆนั้นมาจากไหวกัน หากเขาไม่หักหลบ ก็คงตายศพไม่สวยไปแล้ว เธอจะมาโกรธอะไรเขากันนักกันหนา
อู๋แอบหวั่นนิดนึง ชายหนุ่มตัวใหญ่คนนี้ คงสามารถต่อยเธอสลบได้ในหมัดเดียว...แต่ใครแคร์ เธอไม่ได้มาถึงจุดนี้ได้ด้วยการยอมคนซะหน่อย
สายสตรองชนกันอย่างนี้ จะลงเอยอย่างไร หากมีใครซักคนที่มีสติ และมีความรู้เฉพาะด้าน มาแก้ปัญหาอีรุงตุงนังนี่เสียหน่อยก็คงดี
ก่อนที่เรื่องจะบานปลายไปมากกว่านี้ เจ้าหน้าที่ประกันภัยจึงปรากฎตัว เขาเริ่มจากการจับคู่กรณีทั้งสองนั่งคุยกันอย่างมีเหตุผล โดยเริ่มจากให้ทั้งสองฝ่ายเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น จากนั้นจึงตั้งคำถามกับคุณอะตอม
หลังจากทั้งสองค่อยๆใจเย็นลง คุณเจ้าหน้าที่ประกันภัยจึงเริ่มใช้เหตุผลเข้าอธิบายถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นโดยอ้างอิงมาตรากฎหมาย
เจ้าหน้าที่ประกันค่อยๆทำหน้าเครียดและจริงจังขึ้น
อู๋ยิ้มมุมปากอย่างมีชัย เธอจ้องมองไปที่อะตอมที่เริ่มหน้าถอดสี หลังจากที่รู้ว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิด
อะตอมได้แต่ฟังอย่างเงียบๆ พร้อมคิดย้อนไปถึงก่อนวินาทีที่จะเกิดเหตุ ไปจนถึงตอนที่เขาขับมอเตอร์ไซค์คันเก่งไปตามถนน ชมวิวริมทางอย่างสบายใจ หรือว่าเขาจะประมาทจริงๆนะ อะตอมคิด
สุดท้ายอะตอมจึงยอมรับผิดว่าตนเองขับมอเตอร์ไซค์อย่างประมาทเอง เพราะหากเข้ามีสมาธิจดจ่อ และไม่ฟังเพลงเสียงดังจากหูฟังของเขา เขาอาจจะสามารถเบรคหลบหินที่ถล่มลงมาตรงหน้าเขาได้
แต่หลังจากที่อะตอมได้ยินประโยคนี้จากเจ้าหน้าที่ประกัน เขากลืนน้ำลายตนเองเสียงดัง เขาไม่คาดคิดว่าโทษบนท้องถนนจะจริงจังขนาดนั้น
อะตอมพยักหน้าหงึกหงักพลันยืนยันว่าจะรับผิดชอบความเสียหายแม้ใบหน้าจะเต็มไปด้วยความกังวล อู๋ยิ้มละมุน จ้องมองไปที่ชายหนุ่มดวงตาคมเข้มผมกระเซอะกระเซิงที่ตอนนี้ดูสุดแสนจะไร้พิษสง
ดูๆไปนายนั่นก็...น่ารักดีนี่นา
สรุป
ความรับผิดอาญา
การที่ ‘มอเตอร์ไซค์อะตอม’ ขับแทรกมามาเลนริมทางเป็นการขับรถแซงเพื่อขึ้นหน้า ‘รถอู๋’ ซึ่งเป็นรถยนต์ทางด้านซ้าย โดย ไม่อยู่กรณีข้อยกเว้นของมาตรา 45 เพราะฉะนั้น ‘มอเตอร์ไซค์อะตอม’ ต้องรับผิดตามมาตรา45
นอกจากนี้การเปลี่ยนช่องทางการเดินรถของ ‘มอเตอร์ไซค์อะตอม’ ไม่ได้มีการให้สัญญาณไฟ ‘มอเตอร์ไซค์อะตอม’ จึงมีความรับผิดตามมาตรา 36
ส่วนการที่ ‘มอเตอร์ไซค์อะตอม’ หักหลบหินกลางทางแล้ว พุ่งชน ‘รถอู๋’ นั้น หากได้ข้อเท็จจริงว่า หินตกลงมา ไม่ได้อยู่ในระยะกระชั้นชิด สิ่งที่ถูกต้องคือ‘มอเตอร์ไซค์อะตอม’ ต้องเบรกก่อนถึงหิน มิใช่การเปลี่ยนช่องทางเดินรถ โดยไม่ได้ใช้ความระมัดระวังอย่างเพียงพอ เป็นการขับรถโดยประมาท อันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน รวมถึงเป็นการขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของคนอื่น เป็นความผิดตามมาตรา 43
ทั้งนี้หากหินที่ตกลงมาอยู่ในระยะกระชั้น เป็นเหตสุดวิสัย การหักหลบก้อนแล้วชน ‘รถยนต์อู๋’ ไม่ก่อให้เกิดความผิดตามมาตรา 43
ความรับผิดทางแพ่ง
จากการข้อเท็จจริง หากหินตกลงมา ไม่ได้อยู่ในระยะกระชั้นชิด ‘อะตอม’ ทำละเมิดต่อ เจ้าของ 'รถยนต์อู๋’ คนขับมอเตอร์ไซค์อะตอม จึงต้องชดใช้สินไหมทดแทนให้กับเจ้าของรถยนต์อู๋ ตามความเสียหายที่แท้จริง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 และ 437
ทั้งนี้หากหินที่ตกลงมาอยู่ในระยะกระชั้น เป็นเหตสุดวิสัย อะตอมไม่ต้องชดใช้สินไหมทดแทนให้อู๋ เนื่องจากอะตอม ไม่ได้จงใจหรือประมาทเลินเล่อ การกระทำดังกล่าวจึงไม่เป็นกระทำตามละเมิด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 และ 437