ไข้เลือดออกร่วมโควิด
หลายคนพยายามดูแลตัวเองให้รอดพ้นจาก
โรคโควิด-19 มากจนละเลยโรคประจำถิ่นอย่างโ
รคไข้เลือดออกไปทั้งๆ ที่ 2 โรคสามารถเพิ่มอัตราเสียชีวิตได้ทุกปี และที่อันตรายไปกว่านั้นคือ
การป่วยเป็นไข้เลือดออกร่วมกับติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งลักษณะอาการคล้ายกันอาจทำให้ผู้ป่วยสับสนและทานยาผิดประเภท วันนี้พี่หมี
TQM จึงมีความต่างระหว่างอาการของการป่วยไข้เลือดออก กับ ติดโควิด-19 มาฝากกันครับ
สถานการณ์โควิด-19 และไข้เลือดออกช่วงต้นปี 65 เป็นอย่างไร
สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ตลอดเดือนมีนาคม 65 ที่ล่าสุดเป็นสายพันธุ์โอมิครอนเป็นหลัก ทำให้พบผู้ติดเชื้อรายวันทั้งจากยอดยืนยันรวมตรวจ ATK ทะลุ 4-5 หมื่นคนและมีผู้ป่วยเสียชีวิตเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
สำหรับสถานการณ์โรคไข้เลือดออกในช่วง 3 เดือนแรกของปี 65 มีผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกเสียชีวิตไปแล้ว 3 คน โดยเป็นโรคไข้เลือดออกร่วมกับโควิด-19 และยังพบอีกว่าทั้ง 3 ราย ที่เสียชีวิตนั้น ได้รับยาจากร้านยาบ้างซื้อยากินเองบ้าง เป็นยากลุ่มที่เรียกว่า เอ็นเสด หรือเดิมคือ แอสไพริน ยาทันใจ ซึ่งยากลุ่มนี้ทำให้มีเลือดออกในทางเดินอาหาร และเสียชีวิตได้
เช็คอาการระหว่างป่วยไข้เลือดออก กับ ติดโควิด-19
-
ไข้เลือดออก : จะมีอาการไข้สูง ลอยนานประมาณ 2-7วัน (อุณหภูมิมากกว่า38.5 oc) ปวดกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะ เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน หน้าแดง มีจุดแดงขึ้นตามลำตัว แขนและขา ปวดท้องโดยเฉพาะบริเวณใต้ชายโครงขวา บางรายอาจมีถ่ายดำหรือถ่ายเป็นเลือดถ้ารุนแรง
-
โควิด-19 : มีอาการ ไข้ต่ำถึงสูง (มากกว่า 37.5 oc) ปวดกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะ มีน้ำมูก ไอ เจ็บคอ ได้กลิ่นลดลง ท้องเสียมีในบางราย ไม่พบจุดเลือดออกตามผิวหนัง
นอกจากอาการโควิดจะใกล้เคียงกับโรคไข้เลือดออกแล้ว ทางอธิบดีกรมการแพทย์ยังพบว่า อาการโควิดใกล้เคียงกับโรคไข้หวัด เนื่องจากผู้ติดเชื้อโควิดส่วนใหญ่ ไม่มีอาการป่วย ส่วนที่มีอาการคือ ไอและเจ็บคอ หรือ อ่อนเพลีย เป็นไข้ หรือถ่ายเหลว ดังนั้นหากสงสัยว่าตัวเองมีอาการคล้ายไข้หวัด หรือแม้แต่ถ่ายเหลว เบื้องต้นให้ตรวจ ATK ได้ทันที หากเป็นผลลบให้สังเกตอาการตัวเองใน 48 ชั่วโมง ถ้ายังไม่ดีขึ้นให้ไปโรงพยาบาล เพื่อให้แพทย์วินิจฉัยอาการโรคอื่นๆ
การวินิจฉัยโรคไข้เลือดออกและโควิด-19
-
ไข้เลือดออก : จะมีการตรวจเพิ่ม เช่น ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (CBC) เพื่อหาความผิดปกติเม็ดเลือดขาว ความเข้มข้นเลือดและจำนวนเกล็ดเลือด นอกจากนี้ยังมีการตรวจหาไวรัสเดงกี่ด้วยวิธี PCR, การตรวจหา NS1 แอนติเจนของไวรัสซึ่งควรตรวจ ในช่วงวันแรกๆของไข้ การตรวจดูภูมิคุ้มกัน(แอนตีบอดีย์)ต่อเชื้อไวรัสเดงกี่ มักจะขึ้นหลังมีไข้ 4-5 วัน ปัจจุบันมี Rapid test ซึ่ง อ่านผลเร็วใน 10-15 นาที
-
โควิด-19 : วิธีมาตรฐานจะใช้วิธีการป้ายจมูกและคอ ส่งตรวจ RT-PCR เพื่อหาสารพันธุกรรมของไวรัส SARS-CoV-2 อย่างไรก็ตามมีรายงานการเกิดผลบวกลวงในการตรวจหาภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสเดงกี่ ในผู้ป่วย COVID 19 จึงอาจเป็นสาเหตุให้เกิดความสับสนและล่าช้าในการวินิจฉัยโรค COVID-19
การรักษาโรคไข้เลือดออกและโควิด-19
-
ไข้เลือดออก : ปัจจุบันยังไม่มียาต้านเชื้อไวรัสสำหรับโรคไข้เลือดออก การรักษาจึงเป็นไปตามอาการ มีไข้ให้เช็ดตัวและรับประทานยาพาราเซตามอลลดไข้เท่านั้น ห้ามใช้แอสไพริน ไอบูโพรเฟน ถ้าผู้ป่วยรับประทานอาหารได้น้อย อาจให้ดื่มนม นํ้าผลไม้ หรือนํ้าเกลือแร่ร่วมด้วย
-
โควิด-19 : หากอาการไม่รุนแรง จะรักษาแบบประคับประคองตามอาการ ถ้าเป็นผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงหรือมีอาการปอดอักเสบจะพิจารณาให้ยาหลายตัวร่วมกัน ซึ่งยาที่ใช้ในตอนนี้ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่ารักษาไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่2019ได้โดยตรง ยังอยู่ในช่วงวิจัยและทดลองยา ยาที่ถูกนำมาใช้รักษาจึงเป็นยาที่รักษาไวรัสอื่น ๆ เช่น HIV ไข้หวัดใหญ่ มาลาเรีย เป็นต้น
เห็นไหมครับว่าอาการป่วยของทั้ง 2 โรคมีลักษณะคล้ายกันอยู่บ้าง จึงทำให้หลายคนอาจสับสนว่ากำลังป่วยโรคไหน ฉะนั้นหากตัวเองหรือคนใกล้ตัวมีอาการข้างต้น แนะนำไปพบแพทย์เพื่อขอคำปรึกษาเพื่อวินิจฉัยโรคพร้อมเข้ารับการรักษาอย่างตรงจุดนะครับ และสำหรับใครที่กังวลเรื่องค่ารักษาพยาบาล ไม่ว่าจะเจ็บป่วยธรรมดา ป่วยหนัก หรือป่วยโควิด-19 พี่หมีขอแนะนำ ประกันสุขภาพ เบี้ยเริ่มวันละ 20.- คุ้มครองโควิด-19 ทุกสายพันธุ์ หมดห่วงเรื่องค่ารักษา เพราะมีประกันจ่ายให้ อุ่นใจไม่กระทบเงินเก็บ สนใจคลิก https://bit.ly/3Jwynt3 หรือโทร 1737
ขอบคุณข้อมูลจาก โรงพยาบาลนครธน
READ MORE :