เช็คราคาแผนประกัน
กรอกข้อมูลเพื่อค้นหาแผนประกัน
ชื่อ *
นามสกุล *
เพศ *
วัน/เดือน/ปีเกิด *
เบอร์โทรศัพท์มือถือ *
|
อ่านแล้ว 57 ครั้ง
ในยุคที่ค่ารักษาพยาบาลในโรงพยาบาลเอกชนพุ่งสูงขึ้นทุกปี ใครที่มีประสบการณ์เข้าโรงพยาบาลเอกชนบ่อยครั้ง คงเข้าใจดีว่าค่าใช้จ่ายต่อครั้งอาจสูงถึงหลักหมื่นหรือแสนบาท และถ้าไม่มีหลักประกันที่ดีพอ อาจส่งผลต่อเงินเก็บระยะยาวได้ง่าย ๆ หนึ่งในทางออกที่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ คือ การทำประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย ซึ่งให้ความคุ้มครองครอบคลุม คุ้มค่า และเหมาะกับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ที่เน้นความยืดหยุ่น
ประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย คือ ประกันที่ให้ความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลแบบ “รวมวงเงินเดียว” โดยไม่แยกเป็นหมวดหมู่ เช่น ค่าห้อง ค่ายา ค่าแพทย์ หรือค่าผ่าตัด ซึ่งแตกต่างจากประกันสุขภาพแบบแยกหมวดที่กำหนดวงเงินของแต่ละรายการแยกจากกัน
ตัวอย่างเช่น หากคุณมีประกันสุขภาพเหมาจ่ายที่ให้วงเงิน 1,000,000 บาทต่อปี แล้วคุณต้องรักษาตัวด้วยการผ่าตัดที่มีค่าใช้จ่ายรวม 400,000 บาท ประกันจะคุ้มครองให้ทั้งหมดภายในวงเงินนั้น โดยไม่จำกัดว่าค่าห้องหรือค่าผ่าตัดจะใช้ได้เท่าไร แค่รวมกันไม่เกิน 1,000,000 บาท ก็สามารถเบิกได้เต็มจำนวน
ยืดหยุ่นสูง: ไม่ต้องกังวลว่าจะใช้สิทธิค่าห้องหมด แต่ยังมีค่าผ่าตัดเหลือ เพราะสามารถใช้วงเงินรวมได้ตามความจำเป็นจริง
ตอบโจทย์การรักษาในโรงพยาบาลเอกชน: เพราะค่ารักษามักสูงและมีหลายรายการ หากใช้แบบแยกหมวดอาจไม่พอจ่าย
เหมาะกับผู้ที่มีความเสี่ยง หรือมีโรคประจำตัว: เพราะอาจต้องรักษาตัวบ่อย และใช้ค่าใช้จ่ายต่อครั้งค่อนข้างมาก
วงเงินค่ารักษาพยาบาลต่อปี: 1,000,000 บาท
ครอบคลุมค่าห้อง ค่าแพทย์ผ่าตัด ค่ายา ค่าแล็บ และค่าบริการอื่น ๆ
ไม่จำกัดจำนวนครั้งในการเข้ารักษา (ภายในวงเงินประกัน)
การเข้าโรงพยาบาลเอกชน มีข้อดีเรื่องความรวดเร็วและความสะดวกสบาย แต่สิ่งที่ตามมาคือ ค่ารักษาพยาบาลที่สูงกว่าโรงพยาบาลรัฐอย่างมาก ตัวอย่างเช่น ค่าผ่าตัดไส้ติ่งที่โรงพยาบาลรัฐอาจอยู่ที่ประมาณ 20,000–30,000 บาท แต่ในโรงพยาบาลเอกชนอาจพุ่งสูงถึง 60,000–100,000 บาท หรือมากกว่านั้น
อุบัติเหตุหรือการเจ็บป่วยฉับพลัน อาจทำให้คุณต้องแอดมิทโดยไม่ทันตั้งตัว หากคุณไม่มีประกัน หรือใช้ประกันแบบแยกหมวดที่วงเงินจำกัด ก็อาจต้องควักเงินจ่ายส่วนเกินเอง ซึ่งหลายครั้งเป็นค่าใช้จ่ายหลักแสน
ประกันสุขภาพแบบเหมาจ่ายช่วยให้คุณสามารถใช้บริการโรงพยาบาลเอกชนที่มีมาตรฐานสูง ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โดยไม่ต้องกังวลว่า “ค่ารักษาจะเกินวงเงินในแต่ละหมวดหรือไม่”
รายการเปรียบเทียบ | เหมาจ่าย | แยกหมวด |
รูปแบบวงเงิน | วงเงินรวมก้อนเดียว ใช้จ่ายได้ตามต้องการ | แยกวงเงินในแต่ละหมวด |
ความยืดหยุ่นในการรักษา | สูง | ต่ำ |
ค่ารักษากรณีฉุกเฉิน/หนัก | ครอบคลุมมากกว่า | อาจต้องจ่ายเพิ่ม |
เหมาะกับใคร | ผู้เข้า รพ.เอกชนบ่อย/มีโรคประจำตัว | คนสุขภาพแข็งแรง เข้า รพ.น้อยครั้ง |
เบี้ยประกัน | สูงกว่าเล็กน้อย แต่คุ้มกว่าในระยะยาว | ถูกกว่า |
ค่าห้องพัก 4 คืน (คืนละ 4,000 บาท): 16,000 บาท
ค่าผ่าตัดและดมยาสลบ: 85,000 บาท
ค่ายาและค่าบริการอื่น ๆ: 19,000 บาท
รวมทั้งสิ้น: 120,000 บาท
หากคุณมีประกันสุขภาพแบบแยกหมวด เช่น
ค่าห้องวันละไม่เกิน 3,000 บาท (เกินวันละ 1,000 บาท x 4 คืน = 4,000 บาท)
ค่าผ่าตัดไม่เกิน 50,000 บาท (จ่ายเกินเองอีก 35,000 บาท)
ค่ายาและค่ารักษาอื่น ๆ ไม่ครอบคลุมทั้งหมด (จ่ายเพิ่มเองอีกราว 5,000–10,000 บาท)
รวมที่อาจต้องควักจ่ายเอง: 40,000–50,000 บาท
แต่ถ้าคุณมี ประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย ที่ให้ความคุ้มครองสูงสุด 400,000 บาทต่อปี อย่างประกันสุขภาพเหมาจ่าย All in one คุณสามารถใช้วงเงินนั้นเพื่อเคลมค่ารักษา 120,000 บาท ได้ โดยไม่ต้องควักเงินจ่ายเองแม้แต่บาทเดียว (หากไม่มีเงื่อนไขค่าใช้จ่ายร่วม (Deductible))
โดยทั่วไปสามารถใช้ได้กับโรงพยาบาลเอกชนส่วนใหญ่ บริษัทประกันจะมีรายชื่อโรงพยาบาลคู่สัญญาหรือเครือข่าย (Network Hospital) ที่สามารถใช้สิทธิ์แบบ "ไม่ต้องสำรองจ่าย" ได้ ซึ่งมักครอบคลุมโรงพยาบาลเอกชนชื่อดัง เช่น
โรงพยาบาลสมิติเวช
โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
โรงพยาบาลกรุงเทพ
โรงพยาบาลพญาไท
โรงพยาบาลเวชธานี
แต่หากคุณเลือกเข้ารับการรักษานอกเครือข่าย อาจต้องสำรองจ่ายก่อน แล้วนำใบเสร็จไปเคลมภายหลัง ทั้งนี้ควรตรวจสอบรายชื่อโรงพยาบาลที่ร่วมรายการกับบริษัทประกันก่อนทำสัญญา เพื่อความมั่นใจว่าจะสามารถใช้บริการในโรงพยาบาลที่คุณใช้ประจำได้
การเลือกวงเงินประกันสุขภาพเหมาจ่ายควรพิจารณาจาก พฤติกรรมสุขภาพและความเสี่ยงของแต่ละบุคคล เช่น
หากคุณมีโรคประจำตัว เข้าโรงพยาบาลบ่อย หรือใช้บริการโรงพยาบาลเอกชนเป็นประจำ
แนะนำเลือกวงเงินคุ้มครองขั้นต่ำ 500,000 บาทต่อปีขึ้นไป เพื่อครอบคลุมทั้งค่าห้อง ค่าผ่าตัด ค่ายา และค่าบริการต่าง ๆ ได้อย่างเพียงพอ
หากคุณมีสุขภาพแข็งแรง ไม่ค่อยเข้าโรงพยาบาล
อาจเลือกวงเงิน 300,000–500,000 บาทต่อปี ก็เพียงพอ โดยพิจารณาแนวโน้มการใช้บริการทางการแพทย์ในอนาคตควบคู่กัน
หมายเหตุ: ปัจจุบันค่ารักษาในโรงพยาบาลเอกชนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี ดังนั้น การเลือกวงเงินสูงกว่าค่าเฉลี่ยจะช่วยป้องกันความเสี่ยงด้านการเงินในระยะยาว
ควรพิจารณาทำเพิ่ม เพราะแม้หลายบริษัทจะมีสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลให้พนักงาน แต่ก็ยังมีข้อจำกัด เช่น
วงเงินค่ารักษาต่อปีมักอยู่ในช่วง 20,000–100,000 บาท
ไม่ครอบคลุมโรงพยาบาลเอกชนระดับพรีเมียม
ไม่คุ้มครองกรณีเจ็บป่วยรุนแรงที่ต้องแอดมิทหลายวันหรือผ่าตัดใหญ่
สิทธิสวัสดิการจะหมดทันทีหากลาออกหรือเปลี่ยนงาน
ประกันสุขภาพเหมาจ่ายจึงเป็นหลักประกันสำรองที่ช่วยเติมเต็มช่องว่างของสวัสดิการจากที่ทำงาน และช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่ามีความคุ้มครองต่อเนื่องไม่ว่าจะเกิดเหตุไม่คาดคิดเมื่อใดก็ตาม
หากคุณมีโรคประจำตัว หรือมีแนวโน้มต้องแอดมิทปีละ 1–2 ครั้ง ควรเลือกแบบเหมาจ่ายทันที
เน้นเปรียบเทียบวงเงิน วงเงินร่วมจ่าย (Deductible) และเงื่อนไขการต่ออายุ เช่น ไม่ตัดสิทธิ์หากป่วยบ่อย
ควรเช็กว่าแผนประกันที่เลือก สามารถเข้ารักษาโรงพยาบาลเอกชนที่คุณใช้อยู่ประจำหรือไม่
สรุปแล้ว สำหรับใครที่เข้าโรงพยาบาลเอกชนบ่อย หรือมีแนวโน้มต้องรักษาพยาบาลอย่างต่อเนื่อง “ประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย” ถือเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าและตอบโจทย์ที่สุด เพราะให้วงเงินคุ้มครองรวมแบบไม่ต้องกังวลว่าจะเกินเพดานรายจ่ายในแต่ละหมวด ใช้รักษาได้หลากหลาย ครอบคลุมจริง และช่วยลดความเสี่ยงเรื่องค่าใช้จ่ายก้อนโตอย่างมีประสิทธิภาพ
หากคุณกำลังมองหาประกันสุขภาพที่ครอบคลุม คุ้มค่า และเข้าโรงพยาบาลเอกชนได้อย่างมั่นใจ พี่หมี TQM ขอแนะนำให้ลองเช็กเบี้ย “ประกันสุขภาพเหมาจ่าย All-in-One” ได้เลยตอนนี้ มีแผนหลากหลายให้เลือกตามไลฟ์สไตล์ พร้อมบริการช่วยเหลือทุกขั้นตอน หรือปรึกษาเรื่องประกันภัย โทร 1737 ยินดีให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง
ชื่อ *
นามสกุล *
เพศ *
วัน/เดือน/ปีเกิด *
เบอร์โทรศัพท์มือถือ *