04/06/68

|

อ่านแล้ว 145 ครั้ง

เช็กอาการมะเร็งปอดแบบละเอียด รู้ก่อน มีโอกาสรักษาหายมากกว่า

    มะเร็งปอดเป็นโรคร้ายที่พบได้บ่อยและมีอัตราการเสียชีวิตสูง โดยเฉพาะเมื่อพบในระยะลุกลาม เพราะมักไม่มีอาการเตือนชัดเจนในช่วงเริ่มต้น การรู้ทันสัญญาณเตือนและอาการของมะเร็งปอดตั้งแต่เนิ่น ๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาและยืดอายุผู้ป่วยได้อย่างมีนัยสำคัญ วันนี้พี่หมี TQM จะพาคุณไปรู้จักกับอาการของมะเร็งปอดในแต่ละระยะ พร้อมแนะแนวทางสังเกตความผิดปกติของร่างกายแบบเข้าใจง่าย และอัปเดตเทคโนโลยีการตรวจคัดกรองมะเร็งปอดในปัจจุบัน เพื่อให้คุณสามารถดูแลสุขภาพตัวเองและคนที่คุณรักได้อย่างทันท่วงที

 

มะเร็งปอดแบ่งเป็นกี่ระยะ

    ก่อนจะรู้จักอาการ ต้องเข้าใจก่อนว่ามะเร็งปอดแบ่งออกเป็น 4 ระยะ ได้แก่

 

ระยะที่ 1 มะเร็งอยู่เฉพาะในปอด ยังไม่แพร่กระจาย

ระยะที่ 2 มะเร็งเริ่มลุกลามไปยังต่อมน้ำเหลืองใกล้ปอด

ระยะที่ 3 มะเร็งลุกลามไปยังอวัยวะข้างเคียง เช่น ผนังหน้าอก หัวใจ หรือหลอดเลือด

ระยะที่ 4 มะเร็งแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น เช่น สมอง ตับ กระดูก

 

    การตรวจพบตั้งแต่ระยะที่ 1–2 จะช่วยให้มีโอกาสรักษาหายสูงกว่าการพบในระยะลุกลามหลายเท่า

อาการของมะเร็งปอดที่พบบ่อย

อาการของมะเร็งปอดที่พบบ่อย

1. ไอเรื้อรัง

    ไอเรื้อรังที่ไม่หายแม้ใช้ยารักษา หรือไอต่อเนื่องเกิน 2–3 สัปดาห์ โดยเฉพาะหากมีลักษณะไอแห้งเรื้อรังหรือมีเสมหะปนเลือด เป็นอาการเริ่มต้นที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยมะเร็งปอด เนื่องจากก้อนเนื้อในปอดอาจกดหรือระคายเคืองเยื่อบุทางเดินหายใจ ผู้ป่วยจำนวนมากมักเข้าใจผิดว่าเป็นแค่หวัดเรื้อรัง ภูมิแพ้ หรือหลอดลมอักเสบ จึงมักละเลยและปล่อยไว้นานเกินไป

 

2. หายใจลำบาก

    รู้สึกเหนื่อยง่ายหรือหอบเวลาออกแรงเล็กน้อย เช่น เดินขึ้นบันได หรือแม้แต่อยู่เฉย ๆ ก็รู้สึกเหมือนหายใจไม่เต็มปอด อาจเกิดจากก้อนเนื้อที่ขัดขวางการแลกเปลี่ยนออกซิเจนในปอด หรือมีของเหลวสะสมในช่องเยื่อหุ้มปอด

 

3. เจ็บหน้าอก

    อาการเจ็บแน่นบริเวณหน้าอกมักสัมพันธ์กับการหายใจลึก ๆ ไอ หรือเคลื่อนไหวร่างกาย เช่น หัวเราะแรง ๆ มักเกิดจากเนื้อร้ายที่ลุกลามไปยังกระดูกหรือผนังทรวงอก หรือเกิดการอักเสบในเยื่อหุ้มปอด

 

4. น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ

    ผู้ป่วยจะมีน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่กี่เดือน ทั้งที่ไม่ได้ลดอาหารหรือออกกำลังกายมากขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณของการเผาผลาญพลังงานผิดปกติในร่างกายที่สัมพันธ์กับกระบวนการของเซลล์มะเร็ง

 

5. เหนื่อยง่าย อ่อนแรง

    แม้จะนอนหลับเพียงพอ แต่ยังรู้สึกหมดแรง อ่อนเพลีย ไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ อาจเกิดจากร่างกายถูกเซลล์มะเร็งใช้พลังงานมากเกินไป หรือเกิดภาวะซีดจากการทำลายเม็ดเลือดแดง

 

6. เสียงแหบ

    หากเสียงแหบโดยไม่มีอาการเจ็บคอ หรือไม่มีไข้ร่วมด้วย โดยเฉพาะในผู้ที่มีเสียงเปลี่ยนเป็นเวลาหลายสัปดาห์ อาจเกิดจากเนื้อมะเร็งกดทับเส้นประสาทควบคุมกล่องเสียง ทำให้เสียงผิดปกติ

 

7. ติดเชื้อทางเดินหายใจบ่อย

    ผู้ที่เป็นมะเร็งปอดมักติดเชื้อทางเดินหายใจได้ง่าย เช่น ปอดบวม หรือหลอดลมอักเสบบ่อยครั้ง เนื่องจากภูมิคุ้มกันลดลง และเนื้อเยื่อปอดที่ถูกทำลายจากมะเร็งจะเป็นจุดอ่อนให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้นเป็นปอดบวม หรือหลอดลมอักเสบบ่อยขึ้นผิดปกติ

 

อาการมะเร็งปอดในระยะลุกลาม

    ในระยะที่ 3-4 อาการจะรุนแรงขึ้นและแสดงออกชัดเจนมากขึ้น เช่น

  • ปวดกระดูก โดยเฉพาะบริเวณหลังหรือซี่โครง

  • ปวดหัวบ่อย มีอาการเวียนศีรษะหรือชัก (หากมะเร็งลามไปสมอง)

  • ตัวเหลือง ตาเหลือง (หากมะเร็งลามไปตับ)

  • มีต่อมน้ำเหลืองโตตามลำคอ รักแร้

  • เบื่ออาหารอย่างรุนแรงและไม่อยากกินอะไรเลย

 

วิธีสังเกตอาการที่อาจเกี่ยวข้องกับมะเร็งปอด

  • หากคุณ ไอเรื้อรัง โดยไม่ทราบสาเหตุ และเป็นมานานกว่า 2 สัปดาห์ ควรรีบพบแพทย์

  • หากมี ประวัติสูบบุหรี่ หรืออยู่ในพื้นที่ที่มีมลพิษ เช่น ฝุ่น PM2.5 ควรตรวจสุขภาพปอดเป็นประจำ

  • หากมี อาการร่วมหลายอย่าง เช่น ไอ เจ็บหน้าอก และน้ำหนักลดเร็ว ควรพิจารณาตรวจ CT Scan

ตรวจคัดกรองมะเร็งปอด

การตรวจคัดกรองมะเร็งปอด

    ในปัจจุบันมีการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยและแม่นยำมากขึ้นในการตรวจหาเซลล์มะเร็งในปอด เพื่อให้สามารถวินิจฉัยโรคได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ช่วยให้การรักษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง ซึ่งเครื่องมือเหล่านี้เหมาะกับทั้งผู้ที่มีอาการและกลุ่มเสี่ยง แม้ยังไม่แสดงอาการชัดเจนก็ตาม โดยเทคโนโลยีที่ใช้ในการตรวจวินิจฉัยในปัจจุบัน ได้แก่

 

1. เอกซเรย์ทรวงอก (Chest X-ray)

    เป็นการตรวจภาพรวมของปอดที่ทำได้ง่ายและรวดเร็ว ใช้เพื่อดูความผิดปกติเบื้องต้น เช่น จุดเงา ก้อน หรือโพรงในปอด อย่างไรก็ตาม ไม่สามารถแยกก้อนเนื้อขนาดเล็กหรือเซลล์มะเร็งระยะแรกได้อย่างชัดเจน จึงเหมาะกับการคัดกรองเบื้องต้นเท่านั้น

 

2. การตรวจด้วยเครื่อง CT scan

    การตรวจด้วยเครื่อง CT scan ที่ใช้รังสีในปริมาณต่ำกว่าปกติ แต่ยังให้ภาพที่มีความละเอียดสูง สามารถตรวจพบก้อนเนื้อขนาดเล็กในปอดได้แม้ยังไม่มีอาการ เหมาะสำหรับการคัดกรองในกลุ่มเสี่ยงสูง เช่น ผู้ที่สูบบุหรี่จัดมาเกิน 20 ปี หรือผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป เป็นวิธีที่ช่วยให้ตรวจพบโรคตั้งแต่ระยะเริ่มต้น และเพิ่มโอกาสในการรักษาได้มาก

 

3. การตรวจเสมหะ

    วิธีนี้ใช้การเก็บเสมหะของผู้ป่วยมาตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อค้นหาความผิดปกติของเซลล์เยื่อบุทางเดินหายใจที่อาจกลายเป็นมะเร็ง เหมาะกับผู้ที่มีอาการไอเรื้อรังหรือมีเสมหะปนเลือด โดยเฉพาะในกลุ่มที่ไม่สามารถเข้ารับการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ได้ทันที

 

ใครบ้างที่ควรตรวจมะเร็งปอด

  • ผู้ที่สูบบุหรี่มากกว่า 20 มวนต่อวัน นานเกิน 10 ปี

  • ผู้ที่เคยมีคนในครอบครัวป่วยเป็นมะเร็งปอด

  • ผู้ที่ทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีสารพิษ เช่น เหมือง โรงงาน หรือก่อสร้าง

  • ผู้ที่อาศัยในพื้นที่เสี่ยงมลพิษทางอากาศ PM 2.5

  • ผู้ที่มีอาการผิดปกติที่กล่าวมาแล้วมากกว่า 2-3 อย่างร่วมกัน

 

    โรคมะเร็งปอดมักไม่ส่งสัญญาณชัดเจนในระยะเริ่มต้น ทำให้หลายคนมาพบแพทย์เมื่อโรคลุกลามไปแล้ว การตรวจสุขภาพประจำปีหรือคัดกรองในกลุ่มเสี่ยงจึงเป็นวิธีป้องกันที่ดีที่สุด เพราะการรักษาในระยะเริ่มต้นมีอัตรารอดชีวิตสูงกว่าหลายเท่า หากคุณเริ่มมีอาการน่าสงสัย หรืออยู่ในกลุ่มเสี่ยงของมะเร็งปอด การวางแผนรับมือไว้ตั้งแต่วันนี้จะช่วยให้คุณและครอบครัวไม่ต้องเผชิญกับค่าใช้จ่ายที่คาดไม่ถึง พี่หมี TQM ขอแนะนำให้คุณ เช็กเบี้ยประกันมะเร็ง แบบง่าย ๆ เพียงไม่กี่คลิก เลือกแผนที่เหมาะกับตัวเอง ดูแลทั้งค่ารักษาและเงินชดเชยในวันที่จำเป็น หรือสนใจปรึกษาเรื่องประกันภัย โทร 1737 ยินดีให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง

เช็คราคาแผนประกัน

กรอกข้อมูลเพื่อค้นหาแผนประกัน
สุขภาพ
มะเร็ง
ลดหย่อนภาษี

ชื่อ *

นามสกุล *

เพศ *

วัน/เดือน/ปีเกิด *

เบอร์โทรศัพท์มือถือ *

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง