25/07/68

|

อ่านแล้ว 102 ครั้ง

ไข้หวัดใหญ่ระบาดช่วงฝนตก อาการต่างจากหวัดธรรมดาอย่างไร?

    เมื่อเข้าสู่ช่วงหน้าฝน หลายคนอาจรู้สึกสดชื่นจากอากาศที่เย็นสบายขึ้นหลังจากฤดูร้อนอันแสนร้อนระอุ แต่ในทางกลับกัน หน้าฝนก็เป็นฤดูที่โรคต่าง ๆ โดยเฉพาะ “ไข้หวัดใหญ่” มักจะกลับมาระบาดอย่างหนักอีกครั้ง โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หรือคนที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ ซึ่งส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดว่าอาการของตนเป็นแค่ “ไข้หวัดธรรมดา” และปล่อยให้โรคดำเนินไปโดยไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วอาจเป็นไข้หวัดใหญ่ที่มีความรุนแรงมากกว่า

 

    วันนี้พี่หมี TQM พาคุณมาเจาะลึกว่าไข้หวัดใหญ่ต่างจากไข้หวัดธรรมดาอย่างไร ทำไมช่วงหน้าฝนจึงเป็นช่วงที่โรคนี้ระบาดหนัก พร้อมวิธีป้องกันตัวเองและคนที่คุณรัก รวมถึงคำแนะนำในการวางแผนเรื่องสุขภาพผ่านการเลือก “ประกันสุขภาพ” ให้เหมาะสม เพื่อให้คุณอุ่นใจทุกฤดูฝน

 

ไข้หวัดใหญ่คืออะไร?

    ไข้หวัดใหญ่ (Influenza) เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่ส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจ ซึ่งมีสาเหตุมาจากไวรัสอินฟลูเอนซา โดยแบ่งเป็นหลายสายพันธุ์ เช่น อินฟลูเอนซา A, B และ C ในจำนวนนี้ สายพันธุ์ A และ B ถือเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดการระบาดในวงกว้างทั่วโลก

 

    ไข้หวัดใหญ่สามารถติดต่อได้ง่ายมาก โดยการหายใจเอาละอองฝอยที่มีเชื้อไวรัสเข้าไป ซึ่งอาจเกิดจากการไอ จาม หรือการสัมผัสสิ่งของที่มีเชื้ออยู่แล้วเผลอเอามือมาสัมผัสจมูกหรือปากของตนเอง โรคนี้อาจดูคล้ายไข้หวัดธรรมดาในช่วงแรก แต่มีความรุนแรงและอาการแทรกซ้อนมากกว่า โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง

ไข้หวัดใหญ่คืออะไร?

ทำไมหน้าฝนถึงเสี่ยงไข้หวัดใหญ่?

1. ความชื้นในอากาศส่งผลให้เชื้ออยู่ได้นานขึ้น

ช่วงหน้าฝนเป็นช่วงที่มีความชื้นในอากาศสูง ซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการอยู่รอดและแพร่กระจายของไวรัสไข้หวัดใหญ่ เมื่อเชื้อสามารถอยู่ในอากาศและพื้นผิวได้นานขึ้น โอกาสที่คนจะได้รับเชื้อจึงสูงขึ้นตามไปด้วย

 

2. พฤติกรรมการใช้ชีวิตในพื้นที่ปิด

เมื่อฝนตก คนส่วนใหญ่มักจะหลบอยู่ในอาคารหรือสถานที่ที่ปิดมิดชิด เช่น ห้างสรรพสินค้า อาคารสำนักงาน รถโดยสาร หรือรถไฟฟ้า ทำให้มีคนอยู่รวมกันจำนวนมากในพื้นที่จำกัด ส่งผลให้การแพร่กระจายของเชื้อไข้หวัดใหญ่เกิดขึ้นได้ง่ายและรวดเร็ว

 

3. อุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงกระทันหัน ทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ

อุณหภูมิที่ผันผวนในฤดูฝน เช่น ฝนตกแล้วแดดออกทันที หรือการเปลี่ยนจากที่ร้อนจัดไปสู่ความเย็นฉ่ำจากแอร์ ทำให้ร่างกายปรับตัวไม่ทัน ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันลดลงอย่างรวดเร็ว จึงเสี่ยงต่อการติดเชื้อต่าง ๆ โดยเฉพาะไข้หวัดใหญ่

 

ไข้หวัดใหญ่ vs ไข้หวัดธรรมดา ต่างกันอย่างไร?

หนึ่งในความเข้าใจผิดที่พบบ่อย คือการคิดว่าไข้หวัดใหญ่ก็แค่อาการหวัดธรรมดา แต่ในความจริงแล้ว ทั้งสองโรคนี้แตกต่างกันอย่างมาก ทั้งในเรื่องของอาการ ความรุนแรง ระยะเวลาของโรค และความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อน

อาการ ไข้หวัดธรรมดา ไข้หวัดใหญ่
ไข้ มักไม่มี หรือมีไข้ต่ำ ไข้สูงทันที 38–40°C
หนาวสั่น ไม่พบ พบบ่อย
ปวดเมื่อยตัว เล็กน้อย รุนแรง โดยเฉพาะหลัง ขา
อ่อนเพลีย เล็กน้อย มากจนไม่สามารถลุกจากเตียงได้
ปวดศีรษะ ไม่เด่นชัด เด่นชัด
ไอ มีเสมหะ ไอแห้งรุนแรง
ระยะเวลาอาการ 3–5 วัน 7 วันขึ้นไป บางรายอาจนานถึง 2 สัปดาห์
ภาวะแทรกซ้อน พบน้อย ปอดบวม เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ไซนัสอักเสบ

การแยกอาการตั้งแต่แรกจะช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่ถูกต้องทันท่วงที และลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเป็นอันตรายต่อชีวิต

ไข้หวัดใหญ่ vs ไข้หวัดธรรมดา ต่างกันอย่างไร?

กลุ่มเสี่ยงที่ควรระวังไข้หวัดใหญ่ในหน้าฝน

    แม้ว่าไข้หวัดใหญ่สามารถเกิดได้กับคนทุกเพศทุกวัย แต่กลุ่มต่อไปนี้มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดอาการรุนแรงหรือภาวะแทรกซ้อนจากโรค

 

  • เด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ระบบภูมิคุ้มกันยังไม่แข็งแรงพอ

  • ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป ร่างกายเริ่มเสื่อมถอย ภูมิคุ้มกันต่ำ

  • หญิงตั้งครรภ์ ภูมิคุ้มกันเปลี่ยนแปลง ทำให้ติดเชื้อได้ง่าย

  • ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน หอบหืด โรคหัวใจ โรคประจำตัวอาจแย่ลงเมื่อเป็นไข้หวัดใหญ่

  • บุคลากรทางการแพทย์ อยู่ใกล้ผู้ป่วยบ่อย มีความเสี่ยงสูง

  • พนักงานออฟฟิศ/นักเรียน อยู่รวมกันในพื้นที่ปิด มีโอกาสรับเชื้อจากผู้อื่น

 

วิธีป้องกันไข้หวัดใหญ่ช่วงหน้าฝน

1. ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ทุกปี

การฉีดวัคซีนคือวิธีป้องกันที่ดีที่สุด โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงควรได้รับวัคซีนก่อนฤดูฝนหรือฤดูหนาว เพราะภูมิคุ้มกันจะใช้เวลาสร้างหลังฉีดประมาณ 2 สัปดาห์

 

2. ล้างมือบ่อย ๆ และใส่หน้ากาก

หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้าเมื่อยังไม่ได้ล้างมือ และควรใส่หน้ากากทุกครั้งเมื่ออยู่ในพื้นที่แออัด

 

3. พักผ่อนเพียงพอ

การนอนหลับ 6–8 ชั่วโมงต่อคืนช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดีขึ้น ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ

 

4. รับประทานอาหารที่เสริมภูมิคุ้มกัน

ผัก ผลไม้ และอาหารที่มีวิตามินซี เช่น ฝรั่ง ส้ม บรอกโคลี จะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน

 

5. หลีกเลี่ยงพื้นที่เสี่ยงหากไม่จำเป็น

หากต้องใช้ขนส่งสาธารณะหรืออยู่ในที่แออัด ควรมีเจลแอลกอฮอล์ติดตัว และลดการสัมผัสพื้นผิวต่าง ๆ

 

ถ้าป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่แล้วควรทำอย่างไร?

    หากมีอาการเข้าข่ายไข้หวัดใหญ่ ควรพบแพทย์ทันทีเพื่อทำการวินิจฉัยอย่างละเอียด โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงไม่ควรซื้อยากินเอง เพราะอาจทำให้โรคแทรกซ้อนหรือดื้อยาได้ ในกรณีที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ แพทย์อาจให้ยาต้านไวรัส เช่น Oseltamivir เพื่อลดความรุนแรงของโรคและระยะเวลาการป่วย การพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมาก ๆ และกินอาหารที่ย่อยง่าย จะช่วยให้ฟื้นตัวเร็วขึ้น

ถ้าป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่แล้วควรทำอย่างไร?

วางแผนรับมือโรคด้วย “ประกันสุขภาพ”

    ในช่วงที่โรคไข้หวัดใหญ่ระบาดบ่อย โดยเฉพาะในหน้าฝนที่คนมีโอกาสป่วยสูง การมีประกันสุขภาพถือเป็นอีกหนึ่งแนวทางที่ช่วยให้คุณอุ่นใจ โดยไม่ต้องกังวลกับค่าใช้จ่ายหากต้องนอนโรงพยาบาล ตรวจรักษา หรือใช้ยาพิเศษที่มีราคาสูง

 

ประกันสุขภาพที่ดีควรครอบคลุม

  • ค่าห้อง ค่ารักษาพยาบาล และค่าหมอ

  • ค่ายาและเวชภัณฑ์

  • ค่าบริการผู้ป่วยนอกในกรณีไม่ต้องแอดมิท

  • ความคุ้มครองโรคระบาดที่พบบ่อยในฤดูฝน เช่น ไข้หวัดใหญ่ ไข้เลือดออก

 

    แม้ไข้หวัดใหญ่และไข้หวัดธรรมดาจะมีอาการคล้ายกันในช่วงแรก แต่โรคไข้หวัดใหญ่มีความรุนแรงและโอกาสแทรกซ้อนสูงกว่ามาก โดยเฉพาะในช่วง หน้าฝน ที่ภูมิคุ้มกันลดลง เชื้อไวรัสอยู่ได้นานขึ้น และผู้คนใช้ชีวิตในพื้นที่แออัดมากขึ้น ดังนั้น การดูแลตัวเองอย่างเหมาะสมควบคู่กับการป้องกัน และวางแผนล่วงหน้าด้วย “ประกันสุขภาพ” จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่คุ้มค่าและจำเป็น

 

    หากคุณกำลังมองหาประกันสุขภาพที่ครอบคลุมทั้งค่ารักษา ค่าห้อง และโรคต่าง ๆ ที่มากับฤดูฝน สามารถเช็กเบี้ยประกันสุขภาพได้ง่าย ๆ ผ่านเว็บไซต์ TQM หรือโทร 1737 มีเจ้าหน้าที่ให้คำปรึกษาฟรีตลอด 24 ชั่วโมง

 

เช็คราคาแผนประกัน

กรอกข้อมูลเพื่อค้นหาแผนประกัน
สุขภาพ
มะเร็ง
ลดหย่อนภาษี

ชื่อ *

นามสกุล *

เพศ *

วัน/เดือน/ปีเกิด *

เบอร์โทรศัพท์มือถือ *

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง