25/06/68

|

อ่านแล้ว 69 ครั้ง

กินยาเยอะ ผลเสียคืออะไร ตับอักเสบ ไตทำงานหนัก เสี่ยงมะเร็งไหม

    ทุกวันนี้เวลาไม่สบาย หลายคนก็หยิบยามากินเองทันที ไม่ว่าจะเป็นปวดหัว ตัวร้อน ปวดท้อง หรือแค่รู้สึกไม่ค่อยดี ก็กินยาเผื่อไว้ก่อนแบบไม่คิดมาก แต่รู้ไหมว่า...ถ้ากินยาเยอะเกินไป หรือกินต่อเนื่องนาน ๆ โดยไม่ได้ปรึกษาหมอ ยาเหล่านั้นอาจทำให้ร่างกายเราพังได้แบบไม่รู้ตัว พี่หมี TQM เลยอยากชวนทุกคนมาทำความเข้าใจให้ลึกขึ้นว่า การกินยาแบบไม่ระวัง ส่งผลเสียต่อทั้งตับ ไต และอาจเสี่ยงโรคร้ายแรงอะไรได้บ้าง แล้วเราจะดูแลตัวเองยังไงให้ปลอดภัยเวลาใช้ยา

 

    ในยุคที่ใคร ๆ ก็สามารถซื้อยามากินเองได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นยาแก้ปวด ลดไข้ แก้อักเสบ หรือแม้แต่ยาสมุนไพร หลายคนมองว่าการ "กินยาเยอะ" เป็นเรื่องปกติ โดยไม่รู้เลยว่ากำลังทำร้ายร่างกายตัวเองอย่างช้า ๆ เพราะถึงแม้ยาเหล่านั้นจะดูไม่อันตรายในระยะสั้น แต่หากสะสมในร่างกายเป็นเวลานาน ก็อาจส่งผลเสียร้ายแรงต่อสุขภาพได้

 

    หลายคนมีพฤติกรรมกินยาโดยไม่ปรึกษาแพทย์ เช่น ปวดหัวก็หยิบยาพาราเซตามอล กินทุกวัน หรือมีอาการจุกเสียดเล็กน้อยก็รีบคว้ายาลดกรด นี่คือพฤติกรรมที่เรียกว่า “กินยาเยอะ” แบบไม่รู้ตัว และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของผลเสียต่ออวัยวะภายในหลายระบบ โดยเฉพาะ ตับ และ ไต ซึ่งเป็นอวัยวะหลักในการกำจัดสารพิษและของเสียออกจากร่างกาย

ตับอักเสบจากการกินยาเยอะจริงไหม

ตับอักเสบจากการกินยาเยอะจริงไหม

    เวลาเรากินยาเข้าไป ไม่ว่าจะเป็นยาเม็ดหรือยาน้ำ ร่างกายจะส่งต่อยาเหล่านั้นไปที่ตับก่อน เพื่อให้ตับจัดการแปรสภาพตัวยาให้อยู่ในรูปแบบที่ร่างกายสามารถขับออกทางปัสสาวะหรืออุจจาระได้ แต่ถ้าเรากินยาเยอะเกินไปบ่อย ๆ ตับก็ต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อจัดการกับสารเคมีเหล่านี้ ทำให้เซลล์ตับเกิดความเสียหาย และนำไปสู่ภาวะตับอักเสบได้ในที่สุด ซึ่งบางรายหากไม่รู้ตัวและปล่อยไว้นาน ๆ อาจรุนแรงถึงขั้นตับวายได้เลย

 

ยาที่กินส่งผลต่อตับถ้ากินเยอะเกินไป

  • พาราเซตามอล: ยาแก้ปวดลดไข้ที่หลายคนมักพกติดบ้าน แต่ถ้ากินเกิน 4,000 มิลลิกรัมต่อวัน อาจทำให้ตับวายเฉียบพลันได้

  • ยาแก้อักเสบกลุ่ม NSAIDs เช่น Ibuprofen, Diclofenac: หากใช้ต่อเนื่องหรือในปริมาณมาก มีผลต่อตับและระบบย่อยอาหารโดยตรง

  • ยาลดกรด: โดยเฉพาะชนิดที่มีอลูมิเนียมหรือแมกนีเซียม หากใช้ติดต่อกันนานเกินไป อาจสะสมในร่างกายและทำให้ตับทำงานหนักขึ้น

 

ไตทำงานหนัก กินยาเยอะมีผลต่อไตจริงไหม?

    แน่นอนเลย! เพราะไตทำหน้าที่เหมือนเครื่องกรองน้ำของร่างกาย คอยคัดแยกและกรองของเสีย รวมถึงสารเคมีจากยาที่เรากินเข้าไป แล้วขับออกทางปัสสาวะ แต่ถ้าเรากินยาเยอะเกินไปหรือกินยาบ่อย ๆ โดยไม่จำเป็น ไตก็จะต้องรับภาระหนักในการกรองสารเหล่านี้

 

    เมื่อไตทำงานหนักเกินไปเป็นเวลานาน เซลล์ไตอาจเริ่มเสื่อมลงแบบเงียบ ๆ โดยไม่มีอาการในช่วงแรก แต่พออาการเริ่มชัดเจนขึ้น ก็อาจเข้าสู่ระยะไตเสื่อมเรื้อรัง และหากไม่ได้รับการดูแลรักษา อาจรุนแรงถึงขั้นไตวาย ซึ่งผู้ป่วยจะต้องฟอกไตเป็นประจำ หรือในบางกรณีต้องปลูกถ่ายไตเพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อไป

 

    การดูแลสุขภาพไตจึงไม่ใช่เรื่องไกลตัว และหนึ่งในพฤติกรรมที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการกินยาโดยไม่จำเป็นหรือกินยาต่อเนื่องโดยไม่ปรึกษาแพทย์ เพราะแม้ยาแต่ละเม็ดจะดูไม่มีพิษภัย แต่ถ้ากินผิดวิธี ก็อาจทำลายไตของเราได้โดยไม่รู้ตัว

 

    ข้อมูลจากสถาบันโรคไตแห่งชาติ (ปี 2564) ระบุว่า ประชากรไทยกว่า 8 ล้านคน หรือประมาณร้อยละ 17.5 ของประชากรไทย มีภาวะไตเสื่อมเรื้อรัง และหนึ่งในสาเหตุสำคัญคือการใช้ยาแก้ปวด โดยเฉพาะการใช้ยาต่อเนื่องโดยไม่อยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ ซึ่งจะทำให้ ไตทำงานหนัก และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะไตวายเรื้อรังได้

 

ขอบคุณที่มา : สมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย

ไตทำงานหนัก กินยาเยอะมีผลต่อไตจริงไหม?

ยาที่ทำให้ไตเสื่อมถ้าใช้ไม่ถูกวิธี

  • ยาลดความดัน กลุ่ม ACE inhibitors เช่น Enalapril: ถ้าใช้ต่อเนื่องโดยไม่เช็กค่าการทำงานของไต อาจทำให้ไตเสื่อม

  • ยาขับปัสสาวะ เช่น Furosemide: ใช้มากไปอาจทำให้ร่างกายขาดน้ำและแร่ธาตุ จนไตทำงานผิดปกติ

  • ยาปฏิชีวนะบางกลุ่ม เช่น Aminoglycosides (เช่น Gentamicin): ถ้าใช้ในขนาดสูงหรือเป็นเวลานาน อาจทำลายเซลล์ไตได้

 

กินยาเยอะ เสี่ยงมะเร็งหรือไม่?

    แม้ว่าในปัจจุบันจะยังไม่มีหลักฐานชัดเจนทางการแพทย์ที่ระบุว่า "กินยาเยอะ" โดยตรงจะทำให้เป็นมะเร็ง แต่ต้องเข้าใจว่า การกินยาเกินความจำเป็นหรือกินต่อเนื่องโดยไม่มีคำแนะนำจากแพทย์ อาจทำให้ตับและไตเกิดการอักเสบหรือเสื่อมสภาพได้ ซึ่งความเสียหายเรื้อรังเหล่านี้สามารถพัฒนาไปสู่การเกิดเซลล์ผิดปกติ และนำไปสู่มะเร็งในที่สุดได้

 

  • หากตับอักเสบเรื้อรังจากการสะสมสารเคมีในร่างกายเป็นเวลานาน เซลล์ตับอาจกลายพันธุ์และพัฒนาเป็นมะเร็งตับในระยะยาวได้

  • ส่วนไตที่ต้องกรองของเสียและสารเคมีจากยาอยู่ตลอด หากทำงานหนักเป็นเวลานาน เซลล์ไตก็อาจเสื่อมและเกิดการแบ่งตัวผิดปกติ จนนำไปสู่มะเร็งไตได้เช่นกัน

 

ดังนั้น การใช้ยาอย่างมีสติ ไม่กินยาบ่อยหรือเกินขนาด ถือเป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันโรคร้ายในอนาคต

กินยาเยอะ เสี่ยงมะเร็งหรือไม่?

สัญญาณเตือนว่า 'ร่างกายได้รับผลข้างเคียงจากยา'

อาการคลื่นไส้ อ่อนเพลีย ปัสสาวะเข้ม สีตาเหลือง

  • ผิวหนังหรือดวงตาเริ่มเหลือง

  • ปัสสาวะสีเข้มคล้ายชา

  • อ่อนเพลียโดยไม่ทราบสาเหตุ

  • บวมตามร่างกาย

  • เบื่ออาหาร น้ำหนักลด

 

ถ้ามีอาการเหล่านี้ร่วมกับประวัติการกินยาต่อเนื่อง ควรรีบไปพบแพทย์ทันที

 

ข้อแนะนำในการใช้ยาอย่างปลอดภัย ไม่ให้ตับ-ไตพัง

  • ปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาเสมอ
  • หลีกเลี่ยงการซื้อยากินเองโดยไม่จำเป็น

  • ไม่ควรกินยาเกินขนาดหรือกินยาต่อเนื่องโดยไม่มีเหตุผล

  • แจ้งแพทย์ทุกครั้งหากมีโรคประจำตัว

  • ตรวจสุขภาพเป็นประจำ โดยเฉพาะการทำงานของตับและไต

 

จริง ๆ แล้ว การดูแลสุขภาพให้ดีไม่ใช่แค่พึ่งยาเวลาป่วย แต่ควรเริ่มจากการกินอาหารดี ๆ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้พอ เพราะถ้ากินยาเยอะ ๆ โดยไม่ระวัง อาจทำร้ายทั้งตับ ไต และเสี่ยงต่อโรคร้ายต่าง ๆ โดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะโรคเรื้อรังและมะเร็งที่ใครก็ไม่อยากเจอ

ถ้ารู้สึกว่าเจ็บป่วยบ่อย อย่าพึ่งรีบคว้ายามากินเอง ควรไปพบแพทย์เพื่อเช็กให้แน่ใจว่าร่างกายมีอะไรผิดปกติหรือเปล่า และอีกเรื่องที่ไม่ควรมองข้ามเลยก็คือ การเตรียมตัวให้พร้อมเผื่อวันไหนเกิดเรื่องไม่คาดคิด เช่น การทำประกันมะเร็งไว้ล่วงหน้า จะได้อุ่นใจว่าถ้ามีอะไรกะทันหันขึ้นมา เราก็มีตัวช่วยเรื่องค่ารักษา

อยากเริ่มต้นดูแลตัวเองตั้งแต่วันนี้ ลองเช็กเบี้ยประกันมะเร็งหรือปรึกษาเรื่องแผนประกันที่เหมาะกับคุณได้เลยที่ TQM โทร 1737 พร้อมให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง

เช็คราคาแผนประกัน

กรอกข้อมูลเพื่อค้นหาแผนประกัน
สุขภาพ
มะเร็ง
ลดหย่อนภาษี

ชื่อ *

นามสกุล *

เพศ *

วัน/เดือน/ปีเกิด *

เบอร์โทรศัพท์มือถือ *

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง