เช็คราคาแผนประกัน
กรอกข้อมูลเพื่อค้นหาแผนประกัน
ชื่อ *
นามสกุล *
เพศ *
วัน/เดือน/ปีเกิด *
เบอร์โทรศัพท์มือถือ *
|
อ่านแล้ว 383 ครั้ง
หน้าฝนเป็นฤดูที่หลายคนรอคอย เพราะอากาศเย็นสบาย ธรรมชาติเขียวขจี แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นช่วงที่มีโอกาสเจ็บป่วยสูงกว่าฤดูอื่น ๆ โดยเฉพาะโรคทางเดินหายใจ เช่น ไข้หวัดใหญ่ ภูมิแพ้ และโรคระบบทางเดินหายใจอื่น ๆ ดังนั้นการรู้จัก ดูแลสุขภาพหน้าฝนอย่างถูกวิธี จะช่วยให้คุณและคนที่คุณรักปลอดภัย ไม่ต้องทนทุกข์กับอาการป่วย วันนี้พี่หมี TQM จะพาคุณไปรู้จัก 8 วิธีดูแลสุขภาพรับหน้าฝน ที่ทำง่าย ๆ ได้ทุกวัน พร้อมคำแนะนำเพื่อการป้องกันและเสริมภูมิคุ้มกันแบบครบถ้วน
ช่วงฝนตก ความชื้นในอากาศจะเพิ่มขึ้น เชื้อไวรัสและแบคทีเรีย เช่น เชื้อไข้หวัดใหญ่ เชื้อรา หรือไวรัส RSV มักเจริญเติบโตได้ดีในสภาพแวดล้อมชื้น ซึ่งเพิ่มโอกาสในการติดเชื้อ
การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิอย่างฉับพลัน เช่น เข้าออกจากห้องแอร์แล้วเจอฝนตก อาจทำให้ร่างกายปรับตัวไม่ทัน ภูมิคุ้มกันจึงอ่อนแอ และเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยได้ง่ายขึ้น
ฝนตกเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ในช่วงฤดูนี้ แต่สิ่งที่สามารถทำได้คือการเตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอ โดยเฉพาะการพกร่มหรือเสื้อกันฝนติดตัวไว้ หากฝนตกกระทันหัน การเดินตากฝนอาจทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรียในอากาศ ซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ หรือแม้แต่ภูมิแพ้
การป้องกันตัวเองไม่ให้เปียกฝนจึงเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการดูแลสุขภาพหน้าฝน แนะนำให้เลือกอุปกรณ์กันฝนที่ใช้งานง่าย เช่น ร่มแบบพับได้ หรือเสื้อกันฝนผ้าไนลอนที่น้ำหนักเบาและพับเก็บสะดวก ไม่อับชื้น และระบายอากาศได้ดี จะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคต่าง ๆ ที่มากับความเปียกชื้น
เมื่อร่างกายเปียกฝน อุณหภูมิจะลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ร่างกายต้องเร่งปรับตัว การปล่อยให้เสื้อผ้าเปียกแปะติดผิวหนังนาน ๆ ทำให้ร่างกายสูญเสียความร้อน และสร้างสภาวะที่เหมาะกับการเจริญเติบโตของเชื้อโรค เช่น เชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคทางเดินหายใจ หรือแม้แต่เชื้อรา
ทันทีที่กลับถึงบ้าน ควรรีบถอดเสื้อผ้าเปียก อาบน้ำอุ่นเพื่อปรับอุณหภูมิร่างกาย และเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าที่แห้งและสะอาด เพื่อให้ร่างกายได้กลับคืนสู่ภาวะสมดุล ลดความเสี่ยงการเจ็บป่วยอย่างได้ผล
ร่างกายที่พักผ่อนไม่เพียงพอจะมีภูมิคุ้มกันต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่เชื้อโรคและไวรัสล่องลอยในอากาศ การนอนอย่างน้อยวันละ 6–8 ชั่วโมงต่อคืน จะช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายสามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ สร้างเกราะป้องกันโรคจากภายใน
หากในช่วงหน้าฝนรู้สึกเหนื่อยง่าย หรือมีอาการเหมือนจะเป็นหวัด การนอนหลับเต็มที่คืนเดียวอาจช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ยังควรปิดหน้าต่างให้สนิทเพื่อไม่ให้เสียงฝนรบกวนการนอน และควรรักษาอุณหภูมิห้องให้อบอุ่นพอเหมาะ
แม้อากาศจะเย็นและไม่ค่อยรู้สึกกระหายน้ำในช่วงฝนตก แต่ร่างกายยังคงต้องการน้ำเพื่อขับของเสีย รักษาความชุ่มชื้น และรักษาความสมดุลของร่างกาย น้ำสะอาดยังช่วยให้เม็ดเลือดขาวในร่างกายทำงานได้ดีขึ้น เสริมภูมิคุ้มกัน และช่วยให้ระบบต่าง ๆ ในร่างกายไหลเวียนได้เป็นปกติ
แนะนำให้ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6–8 แก้ว และหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนหรือแอลกอฮอล์ เพราะอาจทำให้ร่างกายขาดน้ำมากขึ้น การพกขวดน้ำติดตัวไว้เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้ดื่มน้ำได้สม่ำเสมอ
ความชื้นและอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงในหน้าฝน ทำให้เชื้อโรคในอาหารแพร่กระจายได้ง่ายขึ้น อาหารที่ไม่ผ่านการปรุงให้สุก หรือถูกเก็บไว้นานโดยไม่มีการแช่เย็นที่เหมาะสม มักเป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรียอย่างเชื้ออีโคไล หรือซัลโมเนลล่า ซึ่งเป็นสาเหตุของอาหารเป็นพิษ ท้องเสีย และอาการคลื่นไส้
จึงควรเลือกกินอาหารที่ “ปรุงสุกใหม่” และหลีกเลี่ยงการซื้ออาหารริมทางในวันที่ฝนตกหรือพื้นที่น้ำขัง รวมถึงควรล้างผักและผลไม้ด้วยน้ำสะอาดหรือน้ำยาล้างผักทุกครั้งก่อนบริโภค เพื่อลดความเสี่ยงในการรับเชื้อจากทางอาหาร
หน้าฝนมักทำให้หลายคนหลบฝนในที่แออัด เช่น ป้ายรถเมล์ รถไฟฟ้า หรือร้านสะดวกซื้อ ซึ่งเป็นจุดเสี่ยงในการแพร่เชื้อไวรัสทางเดินหายใจ การสวมหน้ากากอนามัย โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีผู้คนหนาแน่น จะช่วยป้องกันได้ดีเยี่ยม ทั้งเชื้อไข้หวัดใหญ่ ไวรัส RSV หรือแม้แต่โควิด-19
นอกจากนี้ หน้ากากอนามัยยังสามารถป้องกันฝุ่นละออง และละอองฝนที่อาจมีเชื้อโรคปนเปื้อนได้อีกด้วย การสวมหน้ากากอย่างถูกวิธี โดยปิดจมูกและปากอย่างมิดชิด และไม่ใช้หน้ากากซ้ำหลายวัน จะช่วยให้การป้องกันโรคได้ผลยิ่งขึ้น
มือคือจุดเริ่มต้นของการติดเชื้อหลายชนิด เพราะเป็นอวัยวะที่สัมผัสสิ่งต่าง ๆ ตลอดเวลา โดยเฉพาะในพื้นที่สาธารณะ เช่น ลูกบิดประตู ราวบันได ปุ่มกดลิฟต์ หรือธนบัตร หากไม่ได้ล้างมือแล้วเผลอสัมผัสใบหน้า ขยี้ตา หรือหยิบอาหารเข้าปาก ก็มีโอกาสติดเชื้อได้สูง
จึงควรล้างมือด้วยสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์ทุกครั้งหลังสัมผัสสิ่งของสาธารณะ หรือก่อนรับประทานอาหาร และที่สำคัญคือควรงดนิสัยจับใบหน้าโดยไม่จำเป็น เพราะจุดอย่าง “ตา จมูก ปาก” คือช่องทางหลักที่เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย
แม้ฝนจะตกจนไม่สามารถออกไปวิ่งหรือเดินเล่นข้างนอกได้ แต่การออกกำลังกายไม่ควรหยุด เพราะการเคลื่อนไหวร่างกายเป็นประจำจะช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนเลือด กระตุ้นภูมิคุ้มกัน และลดความเครียด ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการป้องกันโรค
คุณสามารถปรับวิธีการออกกำลังกายให้เหมาะกับพื้นที่ในบ้าน เช่น การทำโยคะ การเต้นตามคลิปวิดีโอ หรือการใช้แอปออกกำลังกายแบบ HIIT ซึ่งใช้เวลาเพียงวันละ 15–30 นาที ก็สามารถทำให้ร่างกายแข็งแรง และต้านโรคได้ดีกว่าเดิมในช่วงฤดูฝน
โรคที่มากับหน้าฝนโดยตรง ติดง่ายในที่แออัด เช่น โรงเรียน รถโดยสาร และห้างสรรพสินค้า อาการหลักได้แก่ ไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว น้ำมูกไหล และไอ หากมีอาการรุนแรงควรพบแพทย์ทันที
สถิติผู้ป่วยในประเทศไทย
ตั้งแต่ 1 ม.ค. - 19 เม.ย. 2568 พบผู้ป่วย 297,746 ราย (อัตราป่วย 458.69 ต่อแสนประชากร)
มีผู้เสียชีวิต 37 ราย
แนวโน้มคาดว่าในปี 2568 อาจมีผู้ป่วยสูงถึง 900,000 ราย หากไม่เร่งรณรงค์ป้องกัน
ที่มา: กรมควบคุมโรค, กระทรวงสาธารณสุข (ข้อมูลเผยแพร่ 3 พฤษภาคม 2568)
อากาศชื้นและฝุ่นละอองในช่วงหน้าฝนกระตุ้นให้ผู้ป่วยโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้มีอาการกำเริบ เช่น คัดจมูก จามบ่อย น้ำมูกไหล แน่นจมูก โดยเฉพาะในกลุ่มที่แพ้เชื้อรา ฝุ่น หรือไรฝุ่น
สถิติผู้ป่วยในประเทศไทย
คนไทยกว่า 30% หรือราว 20 ล้านคน มีอาการของโรคภูมิแพ้
โรคหืด (asthma) พบมากกว่า 4 ล้านคน
เสียชีวิตรวมจากโรคหืดและภูมิแพ้ ไม่ต่ำกว่า 400 รายต่อปี
ที่มา: สมาคมโรคภูมิแพ้ โรคหืด และวิทยาภูมิคุ้มกันแห่งประเทศไทย (AAIAT)
โรคมือ เท้า ปาก เป็นโรคติดต่อที่พบมากในเด็กเล็กโดยเฉพาะในช่วงหน้าฝน เนื่องจากไวรัสกลุ่ม Enterovirus เจริญเติบโตได้ดีในความชื้น ขณะที่โรคตาแดงมักระบาดในพื้นที่ที่มีน้ำขัง หรือระบบสุขาภิบาลไม่ดีพอ
สถิติผู้ป่วยโรคมือเท้าปากในประเทศไทย
ปี 2567 พบผู้ป่วยโรคมือ เท้า ปาก มากกว่า 67,000 ราย
ปี 2568 (ม.ค.-มี.ค.) พบแล้วกว่า 20,000 ราย
โรคตาแดง พบผู้ป่วยเฉลี่ย 80,000-100,000 ราย/ปี
ที่มา: สำนักระบาดวิทยา, กรมควบคุมโรค
ในช่วงหน้าฝนที่อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยและความชื้นสูง การเสริมภูมิคุ้มกันด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ถือเป็นอีกหนึ่งเกราะป้องกันสำคัญที่ช่วยลดโอกาสเจ็บป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ ภูมิแพ้ และไวรัสต่าง ๆ ซึ่งพบมากในฤดูนี้
เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวในการต่อสู้กับเชื้อโรค ลดระยะเวลาและความรุนแรงของไข้หวัด พบมากในผลไม้เช่น ส้ม มะนาว ฝรั่ง กีวี และสตรอว์เบอร์รี
แม้หน้าฝนจะมีเมฆมาก แต่ออกไปรับแสงแดดอ่อนยามเช้าเพียงวันละ 10–15 นาที ก็เพียงพอสำหรับการกระตุ้นการสังเคราะห์วิตามินดีในร่างกาย วิตามินดีมีผลช่วยควบคุมระบบภูมิคุ้มกัน ป้องกันการอักเสบ และลดโอกาสเกิดโรคทางเดินหายใจ
เป็นแร่ธาตุที่จำเป็นในการทำงานของเอนไซม์และเซลล์ภูมิคุ้มกัน ช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น และลดโอกาสติดเชื้อไวรัส เช่น RSV หรือไวรัสหวัดธรรมดา พบในอาหารทะเลโดยเฉพาะหอยนางรม รวมถึงถั่ว ธัญพืช และเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน
เป็นจุลินทรีย์ที่ดีต่อระบบลำไส้ ช่วยปรับสมดุลจุลชีพในทางเดินอาหาร ซึ่งมีความสัมพันธ์โดยตรงกับระบบภูมิคุ้มกัน โปรไบโอติกยังช่วยย่อยอาหารและลดอาการท้องเสียจากการติดเชื้อ พบได้ในโยเกิร์ต นมเปรี้ยว และอาหารหมักดองอย่างกิมจิ
แม้เราจะใส่ใจดูแลสุขภาพแค่ไหนในช่วงหน้าฝน แต่โรคภัยบางอย่างก็อาจเกิดขึ้นได้โดยไม่ทันตั้งตัว การมี ประกันสุขภาพ จึงเปรียบเสมือนร่มคันสำรองที่ช่วยปกป้องคุณในวันที่ฝนตกไม่หยุด เพราะคุ้มครองค่ารักษาพยาบาล ค่าห้อง ค่าแพทย์ และอื่น ๆ ที่อาจเป็นภาระทางการเงินโดยไม่คาดคิด หากคุณกำลังมองหาแผนประกันที่คุ้มค่าและเหมาะกับไลฟ์สไตล์ของตัวเอง พี่หมี TQM ขอแนะนำให้ลอง เช็กเบี้ยประกันสุขภาพ หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ โทร. 1737 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความอุ่นใจในทุกฤดูครับ
ชื่อ *
นามสกุล *
เพศ *
วัน/เดือน/ปีเกิด *
เบอร์โทรศัพท์มือถือ *