เช็คราคาแผนประกัน
กรอกข้อมูลเพื่อค้นหาแผนประกัน
ชื่อ *
นามสกุล *
เพศ *
วัน/เดือน/ปีเกิด *
เบอร์โทรศัพท์มือถือ *
|
อ่านแล้ว 55 ครั้ง
แม้จะไม่ใช่โรคที่เราพบเห็นบ่อย แต่ “โรคแอนแทรกซ์” หรือ Anthrax คือหนึ่งในโรคติดต่อร้ายแรงที่สามารถคร่าชีวิตผู้ป่วยได้ภายในเวลาอันรวดเร็วหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที โรคนี้มีต้นกำเนิดจากเชื้อแบคทีเรียที่อยู่ในดินและสัตว์ จึงมักเกี่ยวข้องกับผู้ที่ทำงานในฟาร์ม หรือเกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์จากสัตว์โดยตรง พี่หมี TQM ขอพาคุณไปทำความรู้จักกับโรคนี้แบบละเอียด ทั้งสาเหตุ อาการ การแพร่กระจาย รวมถึงวิธีป้องกัน เพื่อให้คุณและคนที่คุณรักห่างไกลจากโรคร้ายนี้ได้อย่างมั่นใจ
โรคแอนแทรกซ์ (Anthrax) เป็นโรคติดเชื้อร้ายแรงที่เกิดจากแบคทีเรียชนิดหนึ่งชื่อว่า Bacillus anthracis ซึ่งมีความสามารถพิเศษในการสร้างสปอร์ (spore) ซึ่งเป็นรูปแบบที่แข็งแรงมาก สามารถคงอยู่ในสภาพแวดล้อมต่าง ๆ เช่น ดิน แห้ง หรือฝุ่น ได้นานนับสิบปีโดยไม่ตาย เมื่อสปอร์ของเชื้อเข้าสู่ร่างกายมนุษย์หรือสัตว์ มันจะ “ฟื้นคืนชีพ” กลายเป็นเชื้อแบคทีเรียที่มีชีวิตและแพร่กระจาย ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยที่รุนแรง ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจทำให้เสียชีวิตได้
แหล่งที่อยู่ของเชื้อแอนแทรกซ์คือ “ดิน” โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการเลี้ยงสัตว์ เช่น ฟาร์มวัว แพะ แกะ หรือควาย เชื้อจะปะปนอยู่ในดิน และเมื่อสัตว์ไปเล็มหญ้าหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อน ก็อาจติดเชื้อได้ จากนั้นเชื้อจะสะสมในเนื้อเยื่อและอวัยวะของสัตว์ ซึ่งเมื่อมนุษย์เข้าไปเกี่ยวข้อง ก็มีโอกาสรับเชื้อเช่นกัน
การติดเชื้อในมนุษย์ไม่ได้เกิดจากการแพร่กระจายจากคนสู่คนโดยตรง แต่เกิดจาก “การสัมผัสกับเชื้อในสิ่งแวดล้อมหรือสัตว์” โดยมีช่องทางหลัก ๆ ดังนี้
สัมผัสโดยตรงกับซากสัตว์หรือผลิตภัณฑ์จากสัตว์ เช่น ขน หนัง กระดูก หรือเลือด ที่ปนเปื้อนเชื้อแอนแทรกซ์
สูดดมสปอร์ของเชื้อที่ลอยอยู่ในอากาศ ซึ่งมักเกิดในโรงงานที่แปรรูปสัตว์หรือวัสดุจากสัตว์
รับประทานเนื้อสัตว์ที่ติดเชื้อ โดยเฉพาะเนื้อที่ปรุงไม่สุกเพียงพอ เช่น ลาบดิบ สเต๊กดิบ หรือเนื้อเถื่อน
เนื่องจากโรคนี้มีความเกี่ยวข้องกับสัตว์และสิ่งแวดล้อมโดยตรง ผู้ที่อยู่ในกลุ่มอาชีพหรือกิจกรรมต่อไปนี้ถือว่า “เสี่ยงสูง” ต่อการติดเชื้อ
เกษตรกรหรือผู้ทำฟาร์มปศุสัตว์ ที่มีการเลี้ยงวัว แพะ แกะ หรือควาย
ผู้ชำแหละสัตว์หรือทำงานในโรงฆ่าสัตว์
พนักงานโรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์จากสัตว์ เช่น หนังสัตว์ หรือขนสัตว์
ผู้เดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคแอนแทรกซ์ ทั้งในและต่างประเทศ
แม้ในอดีตโรคแอนแทรกซ์จะไม่ใช่โรคที่พบได้บ่อยในประเทศไทย แต่ล่าสุดได้มี การยืนยันการพบผู้ป่วยและเสียชีวิตจากโรคแอนแทรกซ์ใน จ.มุกดาหาร โดยมีต้นตอการติดเชื้อจากการชำแหละโคในงานบุญ และแจกจ่ายเนื้อวัวให้ประชาชนภายในหมู่บ้านบริโภค
เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2568 นพ.ภาณุมาศ ญาณเวทย์สกุล อธิบดีกรมควบคุมโรค รายงานว่า
ผู้ป่วยรายแรกเป็นชายวัย 53 ปี มีโรคประจำตัวเป็นเบาหวาน
มีแผลตุ่มที่มือขวา หลังชำแหละโค
แผลพัฒนาเป็นแผลสีดำ ต่อมน้ำเหลืองโต มีอาการชักเกร็ง และเสียชีวิตในเวลาต่อมา
ต่อมา วันที่ 2 พฤษภาคม 2568 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดมุกดาหาร รายงานว่า
มีผู้ป่วยยืนยันแล้ว 2 ราย
มีผู้ป่วยเข้าข่ายที่อยู่ระหว่างการรักษา 3 ราย
ผู้สัมผัสโรคที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงรวมมากถึง 638 ราย ซึ่งแบ่งเป็น
ผู้ร่วมชำแหละสัตว์ติดเชื้อ 36 ราย
ผู้รับประทานเนื้อดิบ 472 ราย
ผู้สัมผัสร่วมบ้าน 130 ราย โดยผู้สัมผัสทั้งหมดได้รับยาป้องกันเรียบร้อยแล้ว
โรคแอนแทรกซ์อาจดูไกลตัว แต่เมื่อเกิดการติดเชื้อในชุมชนแล้วสามารถแพร่กระจายเป็นวงกว้างได้อย่างรวดเร็ว และในบางกรณีอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต โดยเฉพาะในผู้ที่มีโรคประจำตัว หรือได้รับการรักษาล่าช้า ดังนั้นการ รู้เท่าทันโรค และ หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การบริโภคเนื้อดิบ การสัมผัสสัตว์ที่ไม่ผ่านการตรวจสุขภาพ และการชำแหละสัตว์โดยไม่มีการป้องกันที่เหมาะสม จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนควรใส่ใจอย่างยิ่ง
ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.bbc.com/thai/articles/cjwv5z53e7no
การแสดงอาการของโรคแอนแทรกซ์ขึ้นอยู่กับ “ทางที่เชื้อเข้าสู่ร่างกาย” ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่ ผิวหนัง ทางเดินหายใจ และทางเดินอาหาร
เป็นชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด (ประมาณ 95% ของผู้ป่วย)
เริ่มจากผื่นแดง หรือเม็ดคันเหมือนแมลงกัด
ต่อมากลายเป็นตุ่มน้ำ แล้วแตกกลายเป็นแผลสีดำตรงกลาง (eschar)
อาจมีไข้ ต่อมน้ำเหลืองบวม
หากปล่อยทิ้งไว้ อาจลุกลามไปถึงกระแสเลือดและอวัยวะภายใน
อันตรายมากที่สุด พบได้น้อยแต่มีอัตราการเสียชีวิตสูง
ระยะฟักตัว 1–7 วัน
เริ่มต้นด้วยอาการคล้ายไข้หวัดธรรมดา เช่น ไข้ ไอ เจ็บคอ อ่อนเพลีย
ต่อมามีอาการรุนแรง เช่น เจ็บหน้าอก หายใจลำบาก ความดันตก
หากไม่รักษาทันที อาจเสียชีวิตภายใน 2–3 วัน
เกิดจากการกินเนื้อสัตว์ดิบหรือติดเชื้อ
อาการประกอบด้วย ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน มีไข้
อาจมีเลือดออกในทางเดินอาหาร ท้องเสียรุนแรง
หากเชื้อเข้าสู่กระแสเลือด อาจทำให้เสียชีวิตได้เช่นกัน
โรคแอนแทรกซ์ไม่ติดต่อจากคนสู่คนโดยตรง แต่สามารถติดจากสัตว์หรือสิ่งแวดล้อมที่มีเชื้อสู่คนได้ โดยมีช่องทางการติดเชื้อหลัก ๆ ได้แก่
การสัมผัสตรง เช่น การจับเนื้อสัตว์ติดเชื้อโดยไม่สวมถุงมือ
การหายใจเอาสปอร์เข้าไป โดยเฉพาะในโรงงานหรือสถานที่ปนเปื้อน
การกินเนื้อสัตว์ติดเชื้อ ที่ปรุงไม่สุกหรือสุกไม่ทั่วถึง
การติดเชื้อผ่านบาดแผล หากแผลสัมผัสกับเชื้อโดยตรง
แพทย์จะเริ่มต้นด้วยการซักประวัติผู้ป่วยอย่างละเอียด โดยเฉพาะประวัติการสัมผัสสัตว์หรือซากสัตว์ การทำงานในฟาร์ม โรงฆ่าสัตว์ หรือกิจกรรมที่อาจสัมผัสเชื้อ รวมถึงการเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีรายงานการระบาดของโรคแอนแทรกซ์
จากนั้นจะทำการเก็บตัวอย่างเพื่อตรวจหาเชื้อ เช่น ตรวจเลือด หนอง น้ำเหลือง หรือสารคัดหลั่งจากแผล เพื่อวิเคราะห์ทางจุลชีววิทยา ตรวจยืนยันว่ามีแบคทีเรีย Bacillus anthracis หรือไม่
ในกรณีที่สงสัยว่ามีการติดเชื้อทางระบบหายใจ เช่น มีอาการเจ็บหน้าอก หายใจลำบาก แพทย์อาจพิจารณาส่งตรวจเอกซเรย์ปอด หรือซีทีสแกน เพื่อดูว่ามีการอักเสบในช่องเยื่อหุ้มปอดหรือก้อนในหลอดลมหรือไม่ ซึ่งเป็นลักษณะจำเพาะของแอนแทรกซ์แบบสูดดม
ยาหลักในการรักษาคือยาปฏิชีวนะ โดยเฉพาะในระยะแรก เช่น Ciprofloxacin, Doxycycline หรือ Penicillin ซึ่งหากให้ยาได้เร็วภายใน 24-48 ชั่วโมงหลังเริ่มมีอาการ จะช่วยลดความรุนแรงของโรคและอัตราการเสียชีวิตได้อย่างมีนัยสำคัญ
ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง เช่น มีการติดเชื้อในกระแสเลือดหรือระบบหายใจ อาจต้องได้รับการรักษาแบบฉุกเฉินในโรงพยาบาล เช่น การให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ ยากระตุ้นความดัน การให้ออกซิเจน และการติดตามสัญญาณชีพอย่างใกล้ชิดในหอผู้ป่วยวิกฤต (ICU)
หากผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยช้า หรือเชื้อเข้าสู่ระบบอวัยวะภายใน โอกาสการเสียชีวิตจะสูงขึ้นอย่างมาก ดังนั้นการตรวจพบเร็วและเริ่มรักษาทันทีจึงเป็นกุญแจสำคัญในการเอาชนะโรคแอนแทรกซ์
แม้โรคนี้จะพบไม่บ่อยในชีวิตประจำวัน แต่การระมัดระวังไว้ย่อมดีที่สุด โดยเฉพาะในกลุ่มอาชีพที่เกี่ยวข้องกับสัตว์ เช่น เกษตรกร ชาวฟาร์ม คนชำแหละสัตว์ หรือเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ระบาด ซึ่งมักเผชิญกับความเสี่ยงโดยตรงจากเชื้อที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมหรือสัตว์ที่ติดเชื้อ
หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์ตายหรือซากสัตว์ที่ไม่รู้แหล่งที่มา
โดยเฉพาะซากสัตว์ที่ไม่ได้ผ่านการตรวจสอบจากสัตวแพทย์ เพราะอาจเป็นพาหะของเชื้อแอนแทรกซ์ที่ไม่แสดงอาการภายนอก
สวมถุงมือ หน้ากาก และอุปกรณ์ป้องกันเมื่อทำงานกับสัตว์
อุปกรณ์ป้องกันที่ครบถ้วน เช่น ถุงมือยาง หน้ากาก N95 และเสื้อคลุมกันน้ำ สามารถลดความเสี่ยงในการสัมผัสกับเลือด เนื้อ หรือของเหลวจากสัตว์ติดเชื้อโดยตรง
เนื้อสัตว์ต้องปรุงสุกอย่างทั่วถึงก่อนบริโภค
ความร้อนจากการปรุงอาหารช่วยฆ่าเชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเมนูที่ใช้เนื้อแดง เช่น ลาบ เนื้อย่าง หรือสเต๊ก ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานแบบดิบหรือกึ่งสุกกึ่งดิบ
ไม่ซื้อผลิตภัณฑ์จากสัตว์ที่ไม่ได้รับรองจากหน่วยงานควบคุม
เช่น หนังสัตว์ ขนสัตว์ หรือกระดูก ที่อาจนำเข้าสู่กระบวนการผลิตโดยไม่มีมาตรการฆ่าเชื้ออย่างเหมาะสม เพราะเชื้อแอนแทรกซ์สามารถปนเปื้อนอยู่ในผลิตภัณฑ์ได้นาน
พื้นที่ที่มีประวัติระบาด ควรฉีดวัคซีนให้สัตว์เลี้ยง
โดยเฉพาะวัว ควาย แพะ แกะ ซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อและเป็นพาหะสำคัญ การฉีดวัคซีนให้สัตว์ที่มีความเสี่ยงในการแพร่เชื้อทุกตัว เป็นการป้องกันการแพร่ระบาดในชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับผู้มีความเสี่ยงสูง เช่น ทหารหรือผู้ทำงานในห้องทดลอง อาจรับวัคซีนป้องกันได้
วัคซีนป้องกันโรคแอนแทรกซ์มีให้บริการในบางกรณีเฉพาะ เช่น สำหรับเจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการที่ทำงานกับเชื้อ หรือผู้ที่อาจมีโอกาสสัมผัสสปอร์โดยตรง ซึ่งควรปรึกษาแพทย์หรือหน่วยงานสาธารณสุขก่อนรับวัคซีน
แม้โรคแอนแทรกซ์จะไม่ใช่โรคทั่วไปที่เกิดขึ้นกับทุกคน แต่ก็สะท้อนให้เห็นว่า “ความเสี่ยงทางสุขภาพ” เกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ โดยเฉพาะโรคติดเชื้อที่มักมากับอาหาร สัตว์ หรือสิ่งแวดล้อม อย่ารอให้เจ็บป่วยก่อนค่อยวางแผน พี่หมีขอแนะนำให้ทุกคน เริ่มต้นดูแลสุขภาพด้วยประกันสุขภาพที่ครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็นค่าห้อง ค่ายา หรือการรักษาโรคร้ายแรงต่าง ๆ ก็ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้คุณได้มาก สนใจเช็กเบี้ยประกันสุขภาพออนไลน์ง่ายๆ ได้ที่นี่ ประกันสุขภาพ หรือปรึกษาเรื่องประกันภัย โทร 1737 ยินดีให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง
ชื่อ *
นามสกุล *
เพศ *
วัน/เดือน/ปีเกิด *
เบอร์โทรศัพท์มือถือ *